หนังสือ “Future Mindset เมื่อวิธีคิดที่คุณมี ใช้กับงานในวันพรุ่งนี้ไม่ได้” โดยศาสตราจารย์ ดร.นภดล ร่มโพธิ์ ได้กล่าวถึงวิธีคิดของเราในหลาย ๆ รูปแบบ ที่อาจจะไม่เหมาะกับการใช้ชีวิตในปัจจุบัน โดยได้เสนอ “วิธีคิด” ที่ให้เราสามารถนำมาปรับใช้กับหน้าที่การงานและการดำเนินชีวิตในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นในทุกวันนี้ โดยในบทความนี้ ได้สรุปวิธีคิดที่น่าสนใจจากหนังสือ “Future Mindset เมื่อวิธีคิดที่คุณมี ใช้กับงานในวันพรุ่งนี้ไม่ได้”
Don’t follow your passion, follow your effort
หรืออย่าทำในสิ่งที่ตัวเองลุ่มหลง ให้ทำตามสิ่งที่ตัวเองทำได้ดี เพราะเมื่อเราทำไปเรื่อย ๆ เราก็จะเก่งขึ้น และสุดท้ายเราก็จะชอบสิ่งนั้นไปในที่สุด การทำในสิ่งที่ตัวเองหลุ่มหลงเป็นสิ่งที่ดี หากแต่ว่าหลายครั้งการที่ทำตามความฝันหรือสิ่งที่ลุ่มหลง กลับกลายเป็นว่าเราได้ทำลายความฝันของตัวเองไป เพียงเพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราชอบและสนุกเวลาทำ แต่อาจจะไม่ได้อยากทำเป็นอาชีพ ดังนั้นเราควรคิดให้ชัดเจนว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่เราอยากทำจริง ๆ และหากต้องทำจริงจังเป็นอาชีพแล้วเรายังจะรักและอยากทำต่อหรือเปล่า
แก้ปัญหาสำคัญที่สุดก่อน ถ้าเอาทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดไปแก้ปัญหาหลายอย่าง สุดท้ายมักจะแก้ไม่ได้สักอย่าง
คนสำเร็จไม่ใช่คนที่มีเวลาหรือทรัพยากรมากกว่าคนอื่น
ศาสตราจารย์ ดร.นภดล ร่มโพธิ์ – หนังสือ Future Mindset เมื่อวิธีคิดที่คุณมี ใช้กับงานในวันพรุ่งนี้ไม่ได้
แต่เป็นคนที่เลือกใช้เวลาและทรัพยากรไปอย่างถูกจุดมากกว่า
ยอมรับเสียแต่ตอนนี้ว่า “เราไม่สามารถเก่งได้ทุกเรื่อง” และ “เราไม่สามารถทำทุกเรื่องในระดับที่ดีที่สุดได้”
เหตุผลคือเพราะเรามีเวลาจำกัด วิธีคิดของคนที่ทำผลลัพธ์ได้มากโดยใช้เวลาน้อยคือ เราต้อง “เลือก” ทำในสิ่งที่สำคัญจริง ๆ และพัฒนาการทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
ถามผู้เข้าร่วมประชุมที่ไม่ได้พูดอะไรว่า “คุณเข้ามาทำไม”
ศาสตราจารย์ ดร.นภดล ร่มโพธิ์ ได้ยกคำพูดของ Elon Musk ที่มักถามอย่างตรงประเด็นกับผู้เข้าร่วมประชุมที่ไม่ได้พูดอะไรว่า “คุณเข้ามาทำไม” เพราะมันเป็นการเสียทรัพยากรและไม่มีประสิทธิภาพ โดยได้เสนอ 7 ข้อเพื่อให้การประชุมมีประสิทธิภาพ
- มีเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องจริง ๆ
- มีหัวข้อประชุมชัดเจน เพราะจะได้ไม่พูดออกนอกเรื่องที่ต้องการประชุม และผู้เข้าร่วมประชุมจะได้รู้ด้วยว่าการประชุมนั้นเกี่ยวข้องกับตนเองหรือไม่
- ตรงต่อเวลา
- เตรียมข้อมูลมาก่อน
- พูดให้อยู่ในประเด็น
- ประชุมเสร็จแล้วมีการลงมือทำ ควรต้องมีผลลัพธ์การประชุมให้ชัดเจนว่าใครต้องทำอะไรอย่างไรต่อ
- อย่าใช้อารมณ์ เพราะนอกจากจะเสียเวลาและบรรยากาศแล้ว ยังทำให้การประชุมไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ตั้งใจไว้
การใช้เวลากับเป้าหมายในชีวิตต้องสัมพันธ์กัน ถามตัวเองว่าคุณกำลังใช้เวลาเพื่อเป้าหมายที่ตั้งไว้อยู่หรือเปล่า
ศาสตราจารย์ ดร.นภดล ร่มโพธิ์ ได้เสนอ 7 เทคนิคจัดการเวลาที่ได้ผลที่สุด เพื่อให้เรานำไปปรับใช้ ดังนี้
- ต้องเลือกงานที่จะทำ เพราะการทำหลายอย่างทั้งจำเป็นและไม่จำเป็น สุดท้ายเราจะทำไม่สำเร็จและไม่ได้คุณภาพสักอย่าง วิธีคือการ “เลือกหรือกรอง” งานที่ควรทำ โดยใช้เป้าหมายในชีวิตที่ตั้งไว้เป็นตัวกรอง และเลือกทำงานนั้นก่อนงานอื่น
- จัดลำดับความสำคัญ งานไหนสำคัญมากทำก่อน ส่วนงานไหนสำคัญน้อยกว่าทำทีหลัง
- เลือกเวลาในการทำงาน คนส่วนใหญ่เวลาที่สมองปลอดโปร่งและมี Willpower (พลังสมอง) ที่สุดคือ ช่วงเช้า ดังนั้นควรเลี่ยงที่ใช้เวลานี้ในการเช็กอีเมล์หรือเล่น Facebook แต่ให้เลือกนำงานที่มีความยากและซับซ้อนมาทำในช่วงนี้จะดีที่สุด
- ใช้ “เวลาว่าง” ให้เกิดประโยชน์
- เลือกทางที่ทำให้เราบรรลุเป้าหมายโดยใช้เวลาน้อยที่สุด โดยต้องรู้ก่อนว่าเป้าหมายของเราคืออะไร และเลือกทางที่ใช้เวลาน้อยที่สุด
- แบ่งงานให้คนอื่นทำ เช่น การเขียนหนังสือสักเล่ม โดยเราเป็นคนเขียนเก่ง แต่ไม่ถนัดด้านการออกแบบปกหนังสือ การไปฝึกฝนพัฒนาทักษะด้านการออกแบบเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่อาจจะใช้เวลาพอสมควร ทำให้งานเขียนของเราไปไม่ถึงไหน ดังนั้นเราควรโฟกัสกับงานที่เราเก่งและถนัด และแบ่งงานให้คนที่ถนัดด้านอื่นทำมากกว่า
- รู้จักปฏิเสธ งานที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเป้าหมายในชีวิต
เวลาเลือกทำอะไรสักอย่าง ถ้ามันมีโอกาสสำเร็จสูง และถ้าสำเร็จแล้วจะดีกับชีวิตคุณมาก อย่าปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยไปเป็นอันขาด
แค่วางโทรศัพท์มือถือไว้ไกลตัว เวลาก็จะกลับคืนมามหาศาล
ลดคำว่า “จะ” ทำนู้นทำนี่ และลงมือทำเลย
คนที่ประสบความสำเร็จมักจะไม่พูดคำว่า “จะ” แต่จะคิดให้ดีและรอบคอบ และลงมือทำเลย โดยทำอย่างต่อเนื่องจนประสบความสำเร็จ
อย่าคิดว่าเงินเป็นสิ่งเดียวที่จูงใจพนนักงานได้ หลาย ๆ ครั้งมันอาจไม่ส่งผลอะไรเลย หรืออาจส่งผลในทางตรงกันข้ามด้วยซ้ำ
ให้หัวข้อนี้ ศาสตราจารย์ ดร.นภดล ร่มโพธิ์ ได้พูดถึงหลาย ๆ งานวิจัยที่สำรวจเกี่ยวกับแรงจูงใจ ซึ่งแต่ละงานวิจัยได้ผลลัพธ์ที่สอดคล้องกัน นั่นคือการจูงใจด้วยรางวัลหรือสิ่งของต่าง ๆ เช่น ทริปเที่ยวต่างประเทศ หรือคูปองกินพิซซ่าฟรี เป็นต้น สามารถสร้างแรงจูงใจและส่งผลลัพธ์หลังจากนั้นได้ดีกว่าการสร้างแรงจูงใจด้วยเงิน
เนื่องจากการใช้ เงิน เพื่อสร้างแรงจูงใจ จะทำให้ผู้รับรู้สึกว่าการทำสิ่ง ๆ นั้นเป็นเหมือนกับงานที่ต้องมีการแลกเปลี่ยน อาจจะทำได้ดีในช่วงแรก แต่เมื่อบริษัทหยุดให้หรือพนักงานไม่ได้รับเงินเช่นเดิม มักจะส่งผลไปในทิศทางตรงกันข้าม ในทางกลับกัน การให้รางวัลที่ไม่ใช่เงิน มักช่วยให้เกิดความคุ้นเคยกันและรู้สึกเชื่อมโยงกับองค์กรได้ดีกว่า ดังนั้นอย่าคิดว่าเงินเป็นสิ่งเดียวที่จูงใจพนนักงานได้ ลองเปลี่ยนเป็นของรางวัลที่ไม่ใช่ตัวเงินก็ไม่เสียหาย
ทุกอย่างเริ่มต้นจากความรู้ การทำธุรกิจก็เช่นกัน ถ้ายังไม่มีความรู้ก็ต้องเก็บเกี่ยวให้ได้มากพอก่อน แม้ว่าวิธีการที่ใช้จะห่างไกลจากภาพในฝันของเราก็ตาม
หลายคนรู้สึก “เบื่องานที่ตัวเองทำอยู่ และอยากจะออกมาทำธุรกิจ แต่ก็กลัวความเสี่ยง อีกทั้งยังมีภาระด้านการเงินและหนี้สิน” ในหัวข้อนี้ศาสตราจารย์ ดร.นภดล ร่มโพธิ์ ได้ให้วิธีคิดเพื่อนำไปปรับใช้คือ ให้เราถามตัวเองก่อนว่าเราเบื่ออะไรกันแน่ – เบื่อหัวหน้า เบื่อตัวงาน หรือเบื่ออย่างอื่น แล้วเราสามารถแก้ไขได้หรือไม่ การออกมาทำธุรกิจที่วาดฝันไว้จะช่วยแก้ปัญหาได้จริงหรือเปล่า
แต่หากมั่นใจว่าต้องการออกจากงานจริง ๆ ให้ลองทำสิ่งนั้นในเวลาว่างก่อน อย่าเพิ่งออกจากงานประจำ โดยเริ่มจากการหาความรู้ ศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจนั้น และอาจเริ่มลองทำโดยใช้เงินทุนที่น้อยก่อน เพราะนอกจากจะไม่เสี่ยงจากการทิ้งเงินเดือนประจำแล้ว ยังสร้างรายได้ให้เราเพิ่มขึ้นด้วย หลังจากนั้นหากมั่นใจแล้วว่าสิ่งนั้นตอบโจทย์ชีวิตเราจริง ๆ และสามารถไปได้รอด ค่อยออกมาลุยต่อเต็มกำลัง
นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งจากวิธีคิดทั้งหมดในหนังสือ “Future Mindset เมื่อวิธีคิดที่คุณมี ใช้กับงานในวันพรุ่งนี้ไม่ได้” โดยศาสตราจารย์ ดร.นภดล ร่มโพธิ์ ยังมีวิธีคิดที่น่าสนใจอีกมากมายให้คุณได้อ่านและนำไปปรับใช้ เช็กราคาหนังสือเพื่อซื้อมาอ่านเพิ่มเติม
เช็กราคาหนังสือ
อ่านบทความสรุปหนังสือ เพิ่มเติม